ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ โลกของเรากำลังเผชิญกับโรคระบาดที่แพร่กระจายเป็นวงกว้างอย่างโควิด-19 กันมานับไม่ถ้วนแล้ว แต่อีกหนึ่งโรคระบาดที่กำลังแพร่พันธุ์และมีความเสี่ยงไม่น้อยจากโรคโควิด-19 เลยนั้นก็คือ ไข้ทรพิษลิง หรือที่เราคุ้นหูกันในชื่อโรค ฝีดาษลิง นั่นเองค่ะ ว่าแล้วเราก็มาทำความรู้จักกับโรคฝีดาษลิงกันเลยดีกว่าค่ะ
ในความจริงแล้วโรคฝีดาษลิงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากคนแต่อย่างใดนะคะ เพราะโรคนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะกับสัตว์ตระกูลลิงหรือสัตว์ที่มีฟันแทะเช่น หนู กระแตก และกระรอกเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งความร้ายกาจของเชื้อโรคเหล่านี้สามารถแพร่พันธุ์มายังสู่มนุษย์ได้นั่นเอง แต่รู้ไหมว่าโรคฝีดาษลิงนี้เกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศทวีปแอฟริกา จากนั้นโรคฝีดาษลิงก็กระจายไปสู่ทวีปอื่นๆ เป็นวงกว้าง แต่ต้องยอมรับว่าโลกฝีดาษลิงค่อนข้างเป็นโรคที่มีความเสี่ยงและสามารถติดต่อได้ง่ายจากการสัมผัสเป็นหลัก แม้ว่าโรคฝีดาษลิงจะเป็นโรคที่ไม่ได้มีความร้ายแรงเท่ากับโรคโควิด-19 แต่โรคฝีดาษลิงก็สามารถสร้างแผลผุผองตามร่างกายจนกลายเป็นแผลเป็นได้ทั่วทั้งตัวเลยล่ะค่ะ แต่ในปัจจุบันโรคฝีดาษลิงยังเป็นโรคกลายพันธุ์ชนิดใหม่ที่ยังไม่มีวัคซีนชนิดไหนสามารถป้องกันได้ 100%
ไข้ทรพิษ เป็นโรคเกี่ยวกับผิวหนังชนิดหนึ่งที่สามารถแสดงอาการได้ยาวนานถึง 4 สัปดาห์ เช่นเดียวกันกับโรคฝีดาษลิงที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัส Othopozvirus ซึ่งเป็นไวรัสกลุ่มเดียวกันแต่จัดเป็นไวรัสคนละชนิดกัน โดยโรคฝีดาษลิงจะมีความรุนแรงที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยโรคไข้ทรพิษจะเกิดขึ้นจากคนสู่คน ซึ่งเชื้อโรคจะแพร่เชื้อผ่านการหายใจเป็นหลัก ที่สำคัญคือไข้ทรพิษจะมีอาการที่รุนแรงกว่าโรคฝีดาษลิงจนถึงขั้นเสียชีวิตเลยก็ว่าได้ ในทางตรงกันข้ามโรคฝีดาษลิงจะติดต่อได้ผ่านการสัมผัสร่างกายเป็นหลัก แต่ถึงอย่างไรทั้งสองโรคที่กล่าวมาข้างต้นก็ยังเป็นโรคที่มีความเสี่ยงและต้องคอยระวังอยู่ดีค่ะ
ขอบคุณภาพจาก vichaiyut
หากใครอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นโรคฝีดาษลิงและมีการสัมผัสร่างกายกันด้วยแล้ว เชื้อไวรัสนี้ก็จะใช้เวลาในการฟักตัว 1-2 สัปดาห์โดยเฉลี่ย ซึ่งอาการเริ่มแรกของผู้ป่วยที่เป็นโรคฝีดาษลิง คือ จะมีอาการมีไข้สูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตามร่างกาย ปวดกระบอกตา และมีต่อมน้ำเหลืองกระจายอยู่ทั่วร่างกาย ซึ่งอาการของต่อมน้ำเหลืองโตนี้จะเป็นอาการที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด เพราะต่อมน้ำเหลืองจะปรากฎขึ้นบนร่างกายจำนวนนับไม่ถ้วน เช่น รักแร้ ข้อศอก ไหปลาร้า แขน ขา ใบหน้า เท้า ซึ่งอาการของต่องน้ำเหลืองโตนี้จะมีความแตกต่างจากโรคอีสุกอีใสโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้โรคฝีดาษลิงยังสามารถติดต่อได้ผ่านการพูดคุย จูบ และการหายใจร่วมกันอีกด้วยนะคะ
ซึ่งภายหลังจากที่เรามีอาการข้างต้นมาประมาณ 3 วันแล้ว ระยะต่อไปเราจะเริ่มสังเกตเห็นผื่นขึ้นตามลำตัว เช่น แขน ขา ใบหน้าเป็นหลัก ซึ่งผื่นที่เกิดจากโรคฝีดาษจะมีลักษณะเป็นจุดแดงๆ ทรงกลม และในระยะถัดไปผื่นแดงๆ ก็จะกลายเป็นตุ่มน้ำใส พร้อมกับค่อยๆ เป็นตุ่มหนองผุพองและตกสะเก็ดในที่สุด ซึ่งช่วงที่โรคฝีดาษลิงสามารถแพร่เชื้อได้มากที่สุดนั้นก็คือ ช่วงที่ตุ่มน้ำใสเริ่มกลายเป็นตุ่มหนอง หากผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้อาการของโรคฝีดาษลิงก็จะเบาบางลงและค่อยๆ หายเป็นปกติ แต่สุดท้ายแล้วผลของการเป็นโรคฝีดาษลิงก็จะทำให้เกิดแผลเป็นที่ชั้นผิวหนังของเราได้นั่นเองค่ะ
หากใครกำลังสงสัยอยู่ว่าโรคไข้ฝีดาษลิงจะเป็นโรคที่มีความเสี่ยงเหมือนกับโรคโควิด-19 ไหม? ต้องบอกเลยว่าโรคโควิด-19 นั้นสามารถกระจายเป็นวงกว้างได้มากกว่าโรคฝีดาษลิงค่ะ เนื่องจากโรคฝีดาษลิงสามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสและอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยเท่านั้น แต่ถ้าเป็นโรคโควิด-19 จะสามารถติดต่อได้ผ่านละอองฝอยในอากาศที่สามารถแพร่กระจายได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นแล้วทางที่ดีที่สุดคือ พยายามอย่าอยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อหรือผู้ที่มีความเสี่ยงจะดีที่สุดค่ะ นอกจากนี้หากเราเห็นตุ่มหนองหรือผื่นขึ้นบริเวณลำตัวของคนใกล้ชิด ก็อย่าได้เอามือไปสัมผัสเด็ดขาดนะคะ นอกจากนี้การที่เราหมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยแอลกอฮอล์ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ดีเช่นกันค่ะ แต่แอลกอฮอล์ที่ควรใช้จะต้องเป็นแอลกอฮอล์แบบ 70% ขึ้นไปเท่านั้นนะคะ สุดท้ายนี้ก่อนจะออกไปทำกิจกรรมข้างนอกก็อย่าลืมล้างมือและใส่หน้ากากอนามัยไว้ทุกครั้งด้วยนะคะ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นทั้งโรคโควิด-19 และโรคไข้ฝีดาษลิงค่ะ
จบกันไปแล้วกับสาระน่ารู้เกี่ยวกับโรคฝีดาษลิง เห็นไหมคะว่าโรคฝีดาษลิงนั้นจัดเป็นโรคที่มีความเสี่ยงไม่น้อยไปกว่าโรคโควิด-19 เลย ดังนั้นถ้าใครรู้ตัวว่าตนเองได้สัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นโรคฝีดาษลิง ก็อย่าลืมกักตัวและดูอาการให้ครบ 2 สัปดาห์ขึ้นไปนะคะ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยต่อคนรอบข้างและความปลอดภัยต่อตัวเราด้วยค่ะ