ใครที่ได้ดูตัวอย่างภาพยนตร์ของเรื่อง ร่างทรง The Medium กันไปแล้ว แต่ยังไม่ได้เข้าไปรับชมภาพยนตร์กัน วันนี้เรามีข้อมูลดีๆ มาฝากกัน สำหรับใครหลายคนที่ตั้งตารอที่จะจองตั๋วเข้าชมกันอย่างอดใจไม่ไหว แต่ก่อนจะไปดูเรามาศึกษากันดูก่อนดีกว่า ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในตัวอย่างหนังบ้าง
เริ่มกันที่ฉากแรกในตัวอย่าง เนื้อหาส่วนนี้จะถูกถ่ายทอดจากป้านิ่ม ซึ่งเป็น ร่างทรง ของย่าบาหยัน ซึ่งช่วงที่ป้านิ่มพูดนี้ จะกล่าวถึงเรื่องราวของ ภูตผีวิญญาณต่างๆ ที่มีทั้งร้ายและดี ภาพในตัวอย่างจะตัดเป็น เสื้อสีแดงที่แขวนอยู่หน้าบ้าน ซึ่งหมายถึงสัญลักษณ์ของการห้ามผีแม่ม้ายเข้าบ้าน บรรดาศาลพระภูมิที่วางอยู่ในที่ต่างๆ จะมีช่วงหนึ่งที่ในหนังป้านิ่มและหลานสาวสวมชุดสีดำยืนอยู่ในวัด ซึ่งแสดงว่า ในเนื้อเรื่องน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องพิธีกรรมเกี่ยวกับคนตาย และในช่วงหนึ่งจะมีฉากที่ป้านิ่มถามหลานสาวว่า ช่วงนี้มีคนเรียนชื่อบ้างหรือเปล่า? และได้ขานตอบไหม? ส่วนนี้จะสื่อให้เห็นถึงความเชื่อของคนโบราณ ที่ว่า หากมีเสียงเรียกชื่อที่ดังขึ้นมาโดยไม่ทราบว่าใครเรียก ให้ห้ามขานตอบ เพราะวิญญาณจะตามติดตัว
ส่วนอีกฉากที่มีชายแก่คนหนึ่งพูดว่า สภาพมิ้งตอนนี้นั้นคล้ายกับรถที่เสียบกุญแจค้างไว้ใครจะมาขับก็ได้ นั้นหมายความว่า มิ้งอาจจะขานตอบเสียงเรียกไป และจิตใจในช่วงนี้อยู่ในช่วงจิตตก สามารถถูกเข้าสิงหรือครอบงำได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นจะมีฉากการทำพิธีกรรมมากมาย ในช่วงหนึ่งเราจะสังเกตุเห็นชายที่ถือกล้องถ่ายกำลังบันทึกวิดีโอ ซึ่งนั้นอาจจะเชื่อมโยงกับฉากแรกที่ป้านิ่มพูดเล่าเรื่องราว ทั้งหมดนี้อาจจะถูกเล่าออกมาในบริบทของการถ่ายสารคดีเกี่ยวกับร่างทรง เพราะหลายๆฉากในตัวอย่างจะมีการถ่ายภาพที่ออกมาไม่นิ่ง ไม่เหมือนกับภาพยนต์เรื่องอื่นๆที่ภาพจะนิ่ง เลยอาจจะคาดเดาได้ว่าเนื้อเรื่องอาจถ่ายทอดออกมาในลักษณะการถ่ายสารคดี
ขอบคุณภาพจาก springnews
ในการทำพิธีเราจะได้เห็นการตอกไข่ที่มีของเหลวสีดำออกมาจากไข่ และหลานสาวของป้านิ่มเองก็อาเจียนออกมาเป็นสีเดียวกัน สิ่งนี้เป็นความเชื่อว่าหากหมอผี หรือผู้รักษาคุณไสย์ นำไข่มาลูบที่หัวหรือตัวของคนที่โดนของเข้า บรรดาสิ่งที่ไม่ดีจะหลุดออกมาอยู่ในไข่ และการอาเจียนออกมาเป็นสีเดียวกันคือการเอาสิ่งที่ไม่ดี ที่เป็นมนต์ชั่วร้ายออกมาจากร่างกายผู้โดนคุณไสย์
แม้ว่าจะเป็นฉากทีทภาพตัดไปมาอย่างรวดเร็ว แต่เราก็จะสังเกตุเห็นได้ว่า มีฉากหนึ่งที่มีการปักธูปกลับหัวลง ซึ่งการปักธูปกลับหัวเป็นเรื่องร้ายแรงที่ไม่ควรทำ เพราะเป็นสัญลักษณ์ที่หมายถึง การสาปแช่งผู้ตาย ไม่ให้ดวงวิญญาณมาอาฆาตมาดร้ายแก่ผู้กระทำการปักธูปกลับหัว และอย่างที่เกริ่นบอกไปว่าในช่วงต้นมีฉากที่มิ้งและป้านิ่มยืนอยู่ชุดดำ สองฉากนี้อาจจะมีบางอย่างที่เชื่อมโยงและเป็นเรื่องเดียวกัน
แต่ในขณะที่ภาพตัดไปมาอย่างรวดเร็วจะมีชายคนหนึ่งกำลังเอาหัวโขกกับฝาผนัง ซึ่งถ้าสังเกตุดีๆจะเห็นได้ว่าน่าจะเป็นชายคนเดียวกันกับที่ถือกล้องถ่ายวิดีโอ หรือส่วนนี้จะเป็นจุดที่บอกว่า ย่าบาหยันจะไม่พอใจกับการเข้ามาถ่ายทำสารคดีครั้งนี้?
แล้วฉากก็ตัดเข้าไปที่การทำพิธีซึ่งมีมิ้งนั่งอยู่บนเก้าอี้ และมีเสียงหนึ่งถามว่า ในตัวมิ้งนั้นคือใคร เสียงที่ตอบกลับมาในลักษณ์ท้าทายก็บอกว่าให้ลองเดาดูเอาเอง ทำให้เรานึกย้อยกลับไปตอนที่ป้านิ่มถามกับมิ้งว่าช่วงนี้มีคนเรียกหรือเปล่า ฉากนั้นจะมียายคนหนึ่งยืนอยู่ปลายเท้าของมิ้ง ถ้าหากสังเกตุที่ดวงตาจะพบว่ายายคนนี้ไม่น่าจะเป็นมนุษย์ได้อย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าในตัวของมิ้งน่าจะเป็นยายคนนั้น หรืออาจจะเป็นดวงวิญญาณอื่นที่เข้ามาสิงสถิตย์อยู่ก็เป็นได้
ฉากสุดท้ายที่กล่าวได้ว่าสั่นประสาท หลอน วังเวง น่ากลัว และขนหัวลุกที่สุด คือฉากภาพจากกล้องวงจรปิดในบ้าน ซึ่งมี3จุดให้สัวเกตุกัน จุดแรก คือเมื่อสำรวจบ้านหลังนี้ดีๆจะพบว่าเป็นเพียงบ้านธรรมดาหลังหนึ่งซึ่งไม่มีความจำเป็นในการที่จะต้องติดกล้องวงจรปิดเลยด้วยซ้ำ จุดที่สองคือวันที่และเวลาในกล้องวงจรปิด ที่แสดงเป็นปี 2019 ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นภาพเก่าที่นำออกมาดูซ้ำ เพราะช่วงเวลาที่ฉายเป็นปีปัจจุบัน และจุดสุดท้าย คือ ใครอยู่ใต้บันได?
ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นการสื่อถึงความเชื่อและพิธีกรรมเป็นส่วนใหญ่ และในตัวอย่างเองก็มีการ ใช้คำว่า "A story about shamanism in Thailand" ที่สือถึงว่าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหมดผี ร่างทรง ในประเทศไทย อาจจะเป็นโค้ดลับที่สื่อถึงสิ่งที่เราควรโฟกัสในเนื้อเรื่อง และมีฉากหนึ่งที่เป็นวัฒนธรรมของคริส ก็เป็นการเน้นย้ำในเรื่องของความเชื่อเช่นกัน แต่เหนือสิ่งอื่นใด ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเพียงการคาดเดาจากตัวอย่างของหนัง แต่เชื่อว่าหลายๆคนคงเตรียมพร้อมที่จะดำดิ่งไปกับเนื้อเรื่องทั้งหมดแล้ว ตุลาคมนี้อย่าลืมจองตั๋วเข้าชมกัน